สนุกจนหยุดดูไม่ได้ ดูเพลินจนแทบจะเป็นหมีแพนด้าอยู่แล้ว เพราะมัวแต่ดูเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) สตรีมมิ่งวิดีโอที่รวบภาพยนตร์สุดเข้มข้นธุรกิจบันเทิงแบบไร้พรมแดนที่กำลังครองใจคนทั่วโลก บนยอดวิวรวมกว่า 140 ล้านชั่วโมงต่อวัน !
จุดเริ่มต้นธุรกิจ
Netflix เริ่มต้นจากไอเดียของรีด แอสติงส์ (Reed Hastings) เขาลืมคืนแผ่นดีวีดีที่เช่ามาจากร้าน ทำให้เขาต้องเสียค่าปรับหลังอาน ! จึงขอเปิดร้านเช่าแผ่นบ้างโดยตั้งระบบใหม่ “ยืมนานแค่ไหนก็ได้ แต่ถ้าไม่คืนคุณก็ยืมหนังเรื่องใหม่ไม่ได้” ซึ่งเปิดช่องทางให้เช่าผ่านเน็ต กดเช่าแผ่นก็ส่งผ่านไปรษณีย์ไป ท้าชนกับร้านเช่าแผ่นยักษ์ใหญ่แห่งยุคนั้นบล็อกบัสเตอร์ Blockbuster งัดชนิดที่ต้องร้องขอชีวิต และล้มละลายไปในปี 2014
จุดเปลี่ยนสำคัญ
แค่ให้เช่าแผ่นไม่พออีกต่อไปเมื่อ DVD เข้าสู่ยุคมืด อินเทอร์เน็ตเข้ามาแทนที่ รีด แอสติงส์ เปิดช่องทางใหม่เพื่อคนรักหนัง บริการวิดีโอสตรีมมิ่งผ่านอินเทอร์เน็ต และประสบความสำเร็จอย่างมากในปี 2013 จนถูกยกให้เป็นผู้ปฏิวัติการรับชมภาพยนตร์ รายการทีวี ในด้านผู้นำเนื้อหาทางด้านดิจิทัลตั้งแต่ปี 1997 แม้จะเจอกับสถานการณ์ดับเครื่องชนของค่าย Disney ที่ขอถอนตัวไม่รวมธุรกิจด้วย แถมยกหนังที่อยู่ในเครือออกจาก Netflix ไปหมด เพื่อไปเปิดช่องทางสตรีมมิ่งของตัวเองบ้าง แต่ปีที่ผ่านมา (2017) Netflix ก็โนแคร์ โนสน เดินหน้าพัฒนาคอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับประกาศเพิ่มราคาค่าบริการสำหรับสมาชิกรายเดือน ดังนี้
- พรีเมียม: สมาชิกรับชมได้ 4 หน้าจอ รับชมได้ในรูปแบบ Ultra HD เสียค่าสมาชิกเพิ่ม 99 ดอลลาร์ จาก 11.99 ดอลลาร์ (ค่าบริการในไทย 420 บาท)
- มาตรฐาน: สมาชิกรับชมได้ 2 หน้าจอ เสียค่าสมาชิกเพิ่ม 99 ดอลลาร์ จาก 9.99 ดอลลาร์ (ค่าบริการในไทย 350 บาท)
- พื้นฐาน: บริการปกติชมแบบ HD จ่ายราคาเดิม 99 ดอลลาร์ (ค่าบริการในไทย 280 บาท)
สำหรับการปรับขึ้นราคาครั้งแรกในรอบ 2 ปี บริษัทฯ ออกแถลงการณ์ว่า “From time to time, Netflix plans and pricing are adjusted as we add more exclusive TV shows and movies, introduce new product features and improve the overall Netflix experience to help members find something great to watch even faster,” กล่าวคือ Netflix เก็บเงินเพิ่ม ด้วยเป้าหมายลงทุนพัฒนารายการทีวี ภาพยนตร์ใหม่สุดเอ็กคลูซีฟ เห็นได้เลยว่า การแถลงการณ์แบบตรงไปตรงมา ทำให้ลูกค้าเห็นใจ และยอมจ่ายค่าสมาชิกราคาที่สูงขึ้นแลกกับการได้รับบริการดียิ่งขึ้นกว่าเคย
กลยุทธ์แบรนด์ Netflix น่าสนใจ
Content is King!! เอาใจคนรักหนังด้วยคอนเทนต์ภาพยนตร์ ซีรีย์ที่โดดเด่นกว่าใคร แถมการเข้าถึงยังง่ายดายจะเปิดดูในคอมพิวเตอร์, แท็บเล็ต, สมาร์ทโฟน, เครื่องเล่นเพลย์สเตชั่น หรือสมาร์ททีวี 4K ได้หมด ทำให้เน็ตฟลิกซ์ครองใจคนรักหนังได้ง่าย ๆ คอนเทนต์ Exclusive ออนแอร์บน Netflix เท่านั้น รวมทั้งการเข้าถึงลูกค้าแบบ “One size fit for all ไม่ใช่คำตอบที่สำเร็จรูป” ด้วยแพลตฟอร์มหน้าซับไตเติลของ Netflix ปรับแต่งจัดคอนเทนต์ภาพยนตร์ที่เลือกจากความชอบของคนดูเป็นหลัก ประกอบกับการประชาสัมพันธ์บนโซเชียลมีเดียสร้างแบบสุดคิ้วท์ เรียกรอยยิ้มได้เสมอตามสไตล์ของเน็ตฟลิกซ์ เป็นแม่เหล็กชั้นดีที่ทำให้แบรนด์นี้ดังแบบฉุดไม่อยู่แบบเห็นแล้วต้องแชร์ หรือเห็นแล้วต้องอมยิ้มตาม ยิ่งทำให้สาวกรู้สึกว่า “จ่ายสมาชิกเท่าไหร่ก็คุ้มค่าถ้าสตรีมมิ่งวิดีโอจาก Netflix”
Key-takeaway
Netflix ไม่ได้เตรียมกลยุทธ์ไว้แข่งกับคู่แข่งทางตรงเพียงอย่างเดียว (Direct Competitors) แต่กลยุทธ์ของ Netflix นั้นคือเตรียมไว้แข่งกับทั้ง Direct และ In-Direct ไม่ว่าจะเป็น Home Entertainment , Out-of-Home Entertainment อย่างการพักผ่อนหย่อนใจด้วยการชมภภาพยนตร์จากโรงหนัง หรือใช้เวลากับครอบครัวนอกบ้าน กลายเป็นเราสามารถมีความสุขจากการดูหนังกับครอบครัว กลุ่มเพื่อน ชมรม คู่รักผ่าน Netflix ได้หมด รวมถึงการมุ่งมั่นพัฒนา Exclusive Content ให้มีคุณภาพได้เทียบเท่ากับการชมหนังคุณภาพดีๆ จากโรงภาพยนตร์เลยทีเดียว หากเราจะนำสิ่งที่ Netflix ทำแล้วมาปรับประยุกต์กับธุรกิจของเราในยุคดิจิตอลได้นั้น น่าจะเป็นเรื่องการตั้งเป้าหมายในการแข่งขันให้สูงกว่าระดับอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่เป้าหมายที่ดีที่สุดคือการวาง Position ให้เป็น Entertaining Moment ของชีวิตผู้ชมบนโลกออนไลน์
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก: https://stepstraining.co/entrepreneur/5-case-study-to-build-a-brand-on-digital-world
🎯 สนใจบริการ Digital Marketing สอบถามเพิ่มเติมได้ที่นี่
💬 LINE: https://lin.ee/lVV985S
📱 Tel : 096-140-4854 (Dr.Pla)
📱 Tel : 090-984-9147 (K’Pooh)
✉️ Email : theprocontentth@gmail.com
🌐 Website : https://lineofficialaccounts.com